ไข่ดองน้ำปลา อันตรายหรือไม่อันตราย

“ไข่ดองน้ำปลา” เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนที่ชอบกินเมนูแปลกๆ ชื่นชอบในรสชาติที่ไม่เหมือนเมนูใดๆ ที่เคยกินมา และสามารถกินไข่ดิบได้น่าจะเคยลิ้มลองกันมาบ้างแล้ว แต่จริงๆ แล้วไข่ดองน้ำปลามีประโยชน์ หรืออันตรายอะไรแฝงอยู่หรือไม่?

ไข่ดองน้ำปลา เมนูฮิตที่อาจแฝงอันตราย?
หากจะพูดถึงความเสี่ยงอันตรายของเมนูไข่ดองน้ำปลา สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากวัตถุดิบหลักอย่าง “ไข่ดิบ” ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าไข่ดองน้ำปลาถ้วยนั้นอันตรายต่อร่างกายของเราหรือไม่

ไข่ เป็นปัจจัยที่ผู้นำมาปรุงอาจมองข้าม เพราะกว่า 90% ของคนที่ทำเมนูไข่ดองน้ำปลาซื้อไข่จากร้านสะดวกซื้อทั่วไป ไข่เหล่านั้นอาจเป็นไข่ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ หรือเลี้ยงในระบบเปิด เท่ากับเป็นไข่ที่ไม่ได้สะอาดนัก หากจะทำเมนูไข่ดองน้ำปลา ควรเป็นไข่ไก่ที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเท่านั้น โดยต้องเป็นไข่ได่ที่ผ่านการผลิตมาโดยพิเศษตั้งแต่สายพันธุ์พ่อไก่แม่ไก่ ที่ได้รับการป้องกันเชื้อโรคมาอย่างดี ปลอดภัยจากสารตกค้างที่ทำให้เกิดการดื้อยาในมนุษย์ ดังนั้นหากอยากกินเมนูไข่ดองน้ำปลาให้ปลอดภัย ต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อไข่ เพราะเราต้องกินดิบ

ไข่ดิบ มีประโยชน์?
จริงๆ แล้วไข่ดิบ หรือสุกต่างก็มีประโยชน์ร่างกาย แต่อยากแนะนำให้กินไข่ปรุงสุกมากกว่า เพราะการกินไข่ดิบจะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารจากไข่ไม่เต็มที่ เพราะไข่ดิบลื่นมาก ไข่ดิบจะลำเลียงผ่านลำไส้เล็กไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างกายจะได้ดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ไปใช้งาน สั้นๆ ก็คือลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารจากไข่ดิบไปไม่ทันนั่นเอง นอกจากนี้เมือกของไข่ขาวอาจเข้าไปขัดขวางการทำงานของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ยากมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ในไข่ดิบยังมีสารที่เรียกว่า สารอะวิดิน ที่อาจส่งผลทำให้ร่างกายขาดไบโอติน และเกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ผมขาดหลุดร่วง เบื่ออาหาร ระบบประสาทผิดปกติ เป็นต้น

ควรกินไข่ดองน้ำปลาหรือไม่?
คนที่เคยกินไข่ดิบแล้วไม่มีปัญหาเรื่องท้องอืด อาหารไม่ย่อย อาจจะสามารถกินไข่ดองน้ำปลาได้บ้าง แต่เราไม่แนะนำให้กินบ่อยๆ เพราะนอกจากจะเสี่ยงติดเชื้อโรคบางอย่างที่อาจมากับไข่ดิบที่ไม่สะอาดแล้ว ยังได้รับโซเดียมจำนวนมากต่อเมนูไข่ดองน้ำปลา 1 ถ้วย ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายทั้ง โรตไต และความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นหากมั่นใจในคุณภาพของไข่ดิบที่ใช้ สามารถกินได้บ้างนานๆ ครั้ง แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็กินไข่ปรุงสุดธรรมดาๆ และไม่ปรุงรสเพิ่มเติมมากนักจะดีกว่า

โรคไตวาย ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ

โรคไตวาย
โรคไตวาย คือ ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ ปกติไตจะทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกทางปัสสาวะ ดังนั้น ภาวะไตวายก็คือ ภาวะที่ไตจะไม่สามารถขับของเสียรวมทั้งเกลือแร่ต่างๆ ออกมาทางปัสสาวะได้ ของเสียเหล่านั้นก็จะคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือด ไตเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย มีสองข้าง ลักษณะเป็นรูปถั่ว ขนาด ในผู้ใหญ่ประมาณ 10-13 ซ.ม. ตำแหน่งอยู่ทางด้านหลังตรงบริเวณบั้นเอวทั้งสองข้าง ไตจะทำหน้าที่กรองเลือดที่มาเลี้ยงไตและนำของเสียและน้ำส่วนเกิน กรองและขับออกมาเป็นปัสสาวะ ไตเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมากและไม่มีเวลาพักผ่อน โดยจะรับเลือดจากหัวใจในปริมาณถึงร้อยละ 20 หรือเท่ากับหนึ่งในห้าของเลือดที่บีบตัวออกจากหัวใจแต่ละครั้ง รวมปริมาณเลือดถึงประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 1,400 ลิตร และนำมากรองขับออกมาเป็นปัสสาวะประมาณวันละ 1-2 ลิตรเท่านั้น

ภาวะไตวายโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ไตวายเฉียบพลันและไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงที่ไตน้อยลง เช่น คนไข้มีอาการความดันโลหิตต่ำอยู่ในภาวะช็อกนานๆ หรือคนไข้ที่เสียเลือดมากๆ แต่ภาวะไตวายเฉียบพลันสามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานปกติได้ ส่วนภาวะไตวายเรื้อรังนั้นเป็นโรคที่มีการทำลายของเนื้อไตอย่างช้าๆ อย่างต่อเนื่อง จนไตไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

สาเหตุ

สาเหตุที่พบบ่อยในประเทศไทย คือ โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงโรค ดังกล่าวถ้าได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งสองโรคนี้ในระยะยาวจะส่งผลทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังได้ ระดับน้ำตาลในเลือดมีผลต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ยิ่งน้ำตาลในเลือดสูงมาก ยิ่งมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากและเกิดเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงและภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้เกิดโรคแทรกซ้อนทางไตในผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้เกิดอาการเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ส่วนภาวะที่พบรองลงมา ได้แก่ โรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคนิ่วในไต หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีพิษต่อไต โดยเฉพาะยาแก้ปวดหากซื้อยากินเองเป็นระยะเวลานาน

อาการ

อาการของโรคไตวายเรื้อรังในระยะแรกนั้น ของ เสียในเลือดอาจจะไม่อยู่ในระดับที่สูง เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด อาจจะตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือเจาะเลือดพบว่าของเสียในเลือดขึ้นสูง บางรายอาจจะมีอาการผิดปกติ เช่น บวมบริเวณใบหน้า บริเวณหน้าตาหรือบริเวณขา ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ลุกมาปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน เมื่ออาการไตวายเรื้อรังเป็นมากขึ้นจะทำให้มีอาการที่เด่นชัดเจนขึ้น

เมื่อเกิดภาวะไตวาย การ ทำงานของไตจะลดน้อยลง จนเกิดมีการคั่งของของเสียประเภทยูเรียไนโตรเจน และของเสียอื่นๆ เกิดขึ้น เราจะรู้ได้ด้วยการวัดค่าของเสียเหล่านี้คือค่า บียูเอ็นและค่าครีอะตีนีน ค่า BUN ปกติ มีค่าประมาณ 12-20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนค่า Cr มีค่าประมาณ 0.6-1.2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถ้าทั้งสองตัวมีค่าสูงกว่านี้โดยไม่ใช่เกิดจากยาหรือภาวะบางอย่าง โดยทั่วไปจะถือว่า มีภาวะไตวายเกิดขึ้น
ไตวายอาจจะเป็นแบบที่มีปัสสาวะมาก คือมากกว่า 400 มิลลิลิตรต่อวัน หรือแบบมีปัสสาวะน้อย คือน้อยกว่า 400 มิลลิลิตรต่อวันก็ได้

ถ้ามีปัสสาวะน้อย ผู้ ป่วยมักจะบวมเหนื่อยหอบนอนราบไม่ได้ จากการมีสารน้ำคั่งจนหัวใจวาย แต่ถ้าเป็นไตวายแบบมีปัสสาวะมากผู้ป่วยจะไม่เหนื่อยหอบเร็วนัก อาจจะไม่มีอาการจนกระทั่งค่า BUN ในเลือดถึงประมาณ 80-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะเกิดภาวะของเสียคั่งที่เรียกว่า ยูรีเมีย ซึ่งมักจะมีอาการ สะอึก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ผิวแห้ง อาจมีหัวใจวายหรือเจ็บหน้าอก จากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และถ้าไม่รักษาจะซึม ชักหมดสติและเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย

สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการการ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำหน้าที่ของไต การวินิจฉัยหาสาเหตุที่ทำให้ไตวายจะช่วยในการวางแผนการรักษาระยะยาวได้เป็น อย่างดี

การรักษา

ถ้าผู้ป่วยทราบว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังแล้วการตรวจพบในระยะแรกและให้การรักษาอย่างถูกต้องนั้น จะทำให้สามารถชะลอการเสื่อมของไตได้ ข้อควรปฏิบัติคือ ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดที่ พบบ่อยๆ คือ คนไข้มักจะซื้อยารับประทานเอง หรือไปรักษาด้วยยาจีน ยาสมุนไพร ซึ่งปัจจัยอย่างนี้ ยาบางชนิดพบว่าส่วนผสมบางอย่างทำให้ไตนั้นเสื่อมสมรรถภาพอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการพบแพทย์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลโรคไตวายเรื้อรังโรคไตวายเรื้อรังจะทำให้เนื้อไตนั้นเสื่อมไปแล้วแต่ก็ไม่ได้เป็นทั้งหมดจะ ยังมีบางส่วนที่ทำหน้าที่อยู่ได้ การรักษาโรคไตวายเรื้อรังซึ่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ไตที่เสื่อมสภาพไปอย่างเรื้อรังและถาวรแล้วก็จะไม่สามารถกลับมาทำงานได้อีก การรักษาต่างๆล้วนแต่เป็นการนำเอาของเสียในเลือดออกนอกร่างกายเพื่อให้อาการ ของผู้ป่วยดีขึ้น

การรักษาในระยะแรก

ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาด้วยยา จุด ประสงค์ด้วยการรักษาด้วยยา ไม่ใช่การรักษาให้เนื้อไตที่เสียไปแล้วกลับสภาพทำงานได้ แต่เพื่อรักษาปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ไตนั้นเสื่อมสภาพลง เช่น ควบคุมความดันโลหิต ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ถ้าคนไข้มีความดันโลหิตสูง การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติ จะสามารถชะลอไม่ให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว การให้ยาอื่นๆ นั้นต้องดูความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย เพราะฉะนั้นควรจะติดตามการรักษากับแพทย์และไม่ซื้อยารับประทานเองหรือเอายา ของคนอื่นมารับประทาน อาหารที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็คือ อาหารเค็ม อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง ซึ่งจะทำให้ของเสียในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว

การล้างไต

เป็นการขจัดของเสียในเลือดออก โดย ใช้น้ำยาใส่ลงไปในช่องท้อง หลักการก็คือ จะใส่น้ำยาล้างไตลงไปในช่องท้องของผู้ป่วย และของเสียที่อยู่ในกระแสเลือดก็จะซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอย บริเวณเยื่อบุช่องท้องออกมาในน้ำยา แล้วจะเปลี่ยนน้ำยาที่มีของเสียนั้นออกและใส่ถุงใหม่กลับเข้าไป วันหนึ่งก็จะทำ 3- 4 ครั้ง ของเสียก็จะสามารถขจัดออกไปได้ การรักษาด้วยวิธีนี้ คนไข้อาจไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ในช่วงแรกที่ทำใหม่ๆ อาจจะต้องได้รับการดูแลโดยพยาบาลหรือแพทย์ว่าจะสามารถปฏิบัติเองได้ หรือผู้ป่วยบางรายไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ก็จะเป็นญาติที่คอยเปลี่ยนน้ำยาให้ ที่สำคัญวิธีนี้จะต้องใช้ความสะอาดมาก เพราะถ้ามีเชื้อโรค หรือล้างมือไม่สะอาดก็จะมีการติดเชื้อในช่องท้องได้ อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตการล้างไตโดยวิธีฟอกล้างของเสียทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องเป็น วิธีที่แพทย์สามารถฝึกให้ผู้ป่วยทำเองที่บ้านได้ นับว่าสะดวก แต่ต้องทำการเปลี่ยนถุงน้ำยาวันละ 3-4 ครั้งทุกๆวันตลอดไป และแพทย์จะนัดมาเปลี่ยนสายน้ำยาที่ใช้ฟอกล้างของเสียทุกหนึ่งเดือน ผู้ป่วยสามารถทำงานและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนคนปกติ

การฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม

การฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม เป็น การนำเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ผ่านเข้าเครื่องไตเทียม แล้วให้เครื่องทำการฟอกเลือดเหมือนกับไตที่ทำหน้าที่ตามปกติ เมื่อเครื่องไตเทียมทำหน้าที่ฟอกเลือดแล้ว จึงนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยในระบบที่ปราศจากการปนเปื้อน เครื่องไตเทียมจะใช้ตัวกรองช่วยทำให้เลือดสะอาด อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนของเสีย เกลือแร่ ระหว่างเลือดกับน้ำยาฟอกเลือด ในขณะที่เลือดไหลผ่านตัวกรอง ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆ เหมือนหลอดเลือดฝอยที่มีรูขนาดเล็กมากๆ อยู่ที่ผนังของหลอด และมีน้ำยาฟอกเลือดไหลผ่านอยู่ด้านนอกเลือด ของเสียที่มีระดับสูงในเลือดจะเคลื่อนผ่านผนังของตัวกรองเข้าไปอยู่ในน้ำยา ฟอกเลือด ทำให้ระดับของเสียในเลือดลดลงส่วนน้ำและเกลือแร่จะมีการเคลื่อนผ่านผนังของ ตัวกรอง ทำให้ระดับของเกลือแร่และดุลของสารน้ำในร่างกายเป็นปกติ การฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม ต้อง มาฟอกที่โรงพยาบาล การฟอกเลือดจะต้องมาฟอกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งหนึ่งประมาณ 4-5 ชั่วโมง อาการอันเกิดจากการคั่งของเกลือ และของน้ำ ได้แก่ อาการบวม หอบ เหนื่อย นอนราบไม่ได้ จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ภายใน 1 – 2 วัน ความดันโลหิตที่สูงอยู่ก่อนจะลดลงและควบคุมได้ดีขึ้น หากมีภาวะหัวใจล้มเหลว อาการจะดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 1 – 3 วัน อาการหอบเหนื่อย อันเกิดจากเลือดเป็นกรด จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลา 1 – 3 วัน ส่วนอาการอันเกี่ยวข้องกับระบบประสาท ได้แก่ มึนงง สับสน ไม่รู้สติ กระตุก หรือชัก รวมทั้งอาการของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการคลื่นไส้
อาเจียนเบื่ออาหารจะดีขึ้นภายใน 2 – 4 วันการผ่าตัดเปลี่ยนไต ปัจจุบันการรักษาโดยการเปลี่ยนไต ทาง การแพทย์เรียกว่า การผ่าตัดปลูกถ่ายไตก็เป็นการรักษาโดยการนำไตของผู้ป่วยอื่นมาใช้ ลักษณะของไตที่บริจาคโดยผู้ป่วยเสียชีวิตจากสมองตาย หรือจะเป็นไตจากผู้มีชีวิตอยู่ เช่น ญาติ พี่น้อง พ่อแม่ แพทย์จะนำไตหนึ่งข้างของผู้บริจาคมาใส่ในผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรัง เพื่อที่จะให้ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสีย การผ่าตัดปลูกถ่ายไตมีข้อจำกัดหลายประการ แต่ปัจจุบันการผ่าตัดปลูกถ่ายไตสามารถกระทำได้ง่ายขึ้น ผู้ที่ต้องการรักษาด้วยวิธีนี้ต้องมาขอคำปรึกษากับแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางโรค ไตก่อนว่า
เหมาะสมหรือไม่ที่จะผ่าตัดหลักการสำคัญที่สุดคือ ไตของแต่ละบุคคลจะมีเนื้อเยื่อที่ต่างกันเสมอ ไตที่ได้รับจากการปลูกถ่ายร่างกายผู้รับจะถือว่าเป็นเนื้อเยื่อที่แปลกปลอม เข้ามา ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานหลายชนิดไปกำจัดทำให้เนื้อเยื่อใหม่นั้นถูกทำลาย ด้วยภูมิต้านทาน เรียกว่าเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ปัจจุบันมีการค้นพบวิธีการตรวจเนื้อเยื่อเพื่อที่จะให้เข้ากันได้มากที่สุด ภูมิต้านทานในการทำลายไตก็จะเกิดได้น้อยลงและผู้รับไตยังต้องทานยากดภูมิ ต้านทาน ไม่ให้มีภูมิต้านทานไปกำจัดไตและเมื่อเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ซึ่งอาจจะเกิดได้เป็นครั้งคราว ก็ต้องมียาที่ดีพอที่จะรักษา การรักษาด้วยการปลูกถ่ายไตจะทำหน้าที่ทดแทนไตวายได้ดีที่สุด ผู้ป่วยจะรู้สึกแข็งแรงสดชื่นเหมือนคนปกติซึ่งจะดีกว่าการล้างไต แต่ก็ต้องมีการทานยากดภูมิต้านทาน ตลอดชีวิตทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆได้มากกว่าและต้องมีการตรวจวัด ระดับยาเป็นระยะๆนอกจากนี้ยัง ต้องมีไตที่จะรับบริจาคจากญาติพี่น้องหรือต้องรอจากผู้ป่วยสมองตาย ไปไตที่จะนำมาจาก ผู้ป่วยสมองตายผู้ป่วยนั้นต้องไม่มีเชื้อโรคที่ร้ายแรงเช่น เอดส์ ตับอักเสบไวรัสบี เป็นมะเร็งแพร่กระจาย ไม่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและสมรรถภาพของไตต้องยังดีพอสมควร ในกรณีที่จะรับบริจาคจากญาติญาติต้องได้รับการตรวจว่าแข็งแรงและจะปลอดภัย แน่นอน แม้จะมีไตเหลือเพียงข้างเดียวและต้องได้รับการประเมินทางจิตใจด้วยว่าเต็มใจ จริง และจะไม่มีอาการทางจิตใจแม้จะให้ไตไปแล้ว
การป้องกัน

วิธีป้องกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลตนเองให้ปลอดจากโรคไตโดย เฉพาะโรคไตวายเรื้อรัง ดังนั้น ควรจะสังเกตตนเองว่าจะเริ่มเป็นโรคไตหรือไม่ อาการที่พบบ่อยของผู้ป่วยที่เริ่มจะเป็นโรคไต เช่น ท่านมีอาการปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นฟองมาก ปัสสาวะบ่อย หรือมีเศษกรวดหรือทรายปนออกมา ก็อาจจะพบว่ามีนิ่วอยู่ในไต มีอาการบวมผิดปกติ ตื่นขึ้นมามีอาการบวมบริเวณหน้าตาหรือมีอาการปวดหลัง ถ้าหากไม่แน่ใจ ควรจะรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคไตที่เป็นในระยะแรกนั้นเรื้อรังจนเกิดโรคไตวาย เรื้อรังที่สำคัญอีกเรื่องคือหลีก เลี่ยงการใช้ยา ซึ่งอาจจะมีผลเสียต่อไต การใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาแก้ปวดติดต่อกันนานๆ อาจจะทำให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง สำหรับผู้ที่เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง อย่างที่ได้กล่าวข้างต้นว่า 2 โรคนี้ พบบ่อยว่าในระยะยาว ถ้าท่านรักษาโรคเบาหวานหรือโรความดันโลหิตสูงไม่ถูกต้อง ซื้อยารับประทานเอง หรือไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องจากแพทย์นั้น จะมีผลแทรกซ้อน ทำให้เกิดโรคไตวายเรื้อรังได้
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

การดูแลตนเองที่ดีจะช่วยให้ไตเสื่อมสมรรถภาพได้ช้าลงการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตาม
คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เป็นหัวใจสำคัญ ส่วนเรื่องของอาหารเค็ม จะขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละคน เช่น
คน ไข้บางคนอาจจะรับประทานเค็มได้ คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูง มีอาการบวมก็จะต้องงดอาหารเค็ม ถ้าท่านพบว่าเป็นโรคบางชนิดที่มีโอกาสไตวายเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของไตลงได้ การรับประทานอาหารโปรตีนที่น้อยลง การไม่ซื้อยารับประทานเอง จะช่วยให้ไตเสื่อมสภาพได้ช้าที่สุด นอกจากนี้ ควร ตรวจเช็คดูว่า เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องจนสามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และเมื่อเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ หรือมีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต จะต้องทำการรักษาให้หายขาด เมื่อป่วยเป็นโรคติดเชื้อ งูกัด หรือท้องเดิน
ต้องรีบรักษา อย่าปล่อยจนเกิดภาวะช็อก ซึ่งมีผลทำให้ไตวายตามมาได้

ออกกำลังกายอย่างไร เพื่อรับมือก่อนวันนั้นของเดือน

บทความสุขภาพ
เคยได้ยินความเชื่อเรื่องโยคะบ่อย ๆ ว่าช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้บ้างไหมคะ คุณได้ยินถูกต้องแล้วค่ะ โยคะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องวันนั้นของเดือนได้เป็นอย่างดี สาวๆ คงจะแอบสงสัยว่าแล้วอาการปวดท้อง (ของชั้น) เกิดจากอะไรหนอ แล้วโยคะมันไปช่วยให้หายปวดได้อย่างไรกัน อย่าเพิ่งงงงวยกันไปใหญ่ วันนี้เรามีเรื่องราวโยคะกับประจำเดือนมาฝากให้หายข้องใจกันค่ะ

อาการปวดท้องขณะมีประจำเดือนถือเป็นเรื่องปกติ แต่สาวน้อยทั้งหลายอาจปวดมากถึงมากที่สุดบางคนอาจจะปวดจนเป็นลมเลยก็มี และสาเหตุของอาการปวดท้องก็มาจากหลายสาเหตุ เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน ตำแหน่งของมดลูกที่อยู่ต่ำกว่าปกติ ความเครียดจากากรงาน หรือแม้กระทั่งความอ้วนก็เป็นสาเหตุของอาการปวดท้องได้เช่นกันนะคะ ดังนั้นเราจะต้องเตรียมพร้อมบริหารร่างกายกันตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงที่ประจำเดือนเพิ่งหมดไป ทำต่อเนื่องสักสามสัปดาห์ แค่นี้อาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนก็จะเบาบางลงไปได้ค่ะ

1. ท่าธนู
ให้สาวๆ นอนคว่ำราบไปกับพื้น จากนั้นให้งอเข่าขึ้นชี้ฟ้า แล้วเอามือรวบข้อเท้าไว้ เกร็งหน้าท้องพร้อมหายใจเข้า ขณะที่ยกขาและทรวงอกขึ้นค้างไว้สักครู่ พร้อมเหยียดแขนไปนสุด ตามองตรงไปข้างหน้าพร้อมปล่อยจิตให้ว่าง ท่านี้ช่วยฝึกให้หน้าท้องแข็งแรง และมดลูกเกร็งแข็งแรงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ให้สาวๆ ค้างท่านี้ไว้พร้อมกับนับ 1-15 ก็พอ

2. ท่าสามเหลี่ยม
เป็นอีกท่าหนึ่งที่แนะนำ เพราะช่วยลดอาการเครียด ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น อีกทั้งช่วยลดอาการปวดประจำเดือน กระตุ้นการทำงานของอวัยวะในช่องท้อง และช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังและไหล่อีกทั้งช่วยบริหารขาให้แข็งแรงด้วยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นท่าที่ได้ประโยชน์มากมายยิ่งนัก เหมาะกับสาวๆ ที่มีเวลาจำกัดเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ยืนแยกขาทั้งสองข้างให้พอกับระดับไหล่ ค่อยๆ ก้มตัวลงไปช้าๆ แล้วเอามือแตะที่พื้น หรือเสื่อโยคะ พยายามควบคุมขาและแขนให้ตึงพร้อมกับเกร็งท้องไว้ กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับค้างท่านี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยให้ตาให้มองไปที่หัวแม่โป้งเท้า หรือมองลอดใต้ขาไปไกล ๆ

3. ท่าหน้าวัว
เป็นท่าที่ทำง่าย ๆ สำหรับมือใหม่หัดโยคะที่ช่วยให้กล้ามเนื้อช่วงบนอันได้แก่ แขน ไหล่ หลังและหน้าท้อง คลายตัวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดประจำเดือนได้อีกด้วยนะค่ะ

เริ่มต้นด้วยการนั่งในท่าคลาน ให้ฝ่ามือหัวเข้าและหลังเท้าติดพื้นไว้ด้วยค่ะ จากนั้นให้ยกขาซ้ายสอดเข่าซ้ายไปด้านหลังเข่าขวา แยกเท้าทั้งสองให้กว้าง แล้วหย่อนก้นนั่งระหว่างเท้าทั้งสองข้าง ตามมาด้วยการนั่งในท่าเท้าไขว้ แล้วให้เท้าขวาทับบนเท้าซ้ายโดยให้ส้นเท้าขวาใกล้สะโพกซ้ายมากที่สุดและส้นเท้าวางบนพื้น ส่วนเท้าซ้ายก็ให้วางใกล้สะโพกมากที่สุดเช่นกัน และปิดท้ายด้วยให้เข่าซ้ายวางบนพื้น ขณะหายใจเข้าให้ยกมือขวาเอื้อมไปจับกับมือซ้าย ค้างท่านี้ให้นานเท่าที่ลมหายใจเข้า เมื่อเริ่มหายใจออกก็เปลี่ยนท่าสลับข้าง

หากยังไม่เชี่ยวพอและไม่สามารถเอามือทั้งสองข้างมาประสานกันได้ แนะนำให้เอาผ้าขนหนูมาช่วยพยุงแขนทั้งสองข้างแทนการเอาแขนมาติดกันนะคะ และทำหลายๆ ทีเข้า จะพบว่ามันสามารถทำได้อย่างง่ายดายค่ะ

เอะอะก็แพ้ 9 สิ่งที่คุณอาจแพ้โดยไม่รู้ตัว

9 สาเหตุของอาการแพ้ ใกล้ตัว ที่คุณอาจนึกไม่ถึง มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

หลายๆ ท่านที่แพ้ขนสุนัขหรือขนแมวอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ยังมีสัตว์อีกหนึ่งประเภทที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ นั่นก็คือ สัตว์เลื้อยคลาน เป็นอีกหนึ่งตัวร้ายที่ทำให้หลายๆ คนต้องแพ้เพราะมีโปรตีนบางชนิดบนผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลายที่เป็นอันตรายต่อภูมิคุ้มกันของมนุษย์ สำหรับผู้ที่แพ้สัตว์เลื้อยคลานอาจจะเกิดอาการคันตา น้ำมูกไหล หรือเป็นหอบหืดได้

การออกกำลังกาย
ออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีแต่หลายๆ ท่านอาจกำลังสับสนในเรื่องการออกกำลังกายที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และการออกกำลังกายที่ก่อให้เกิดอาการหอบหืด สำหรับการออกกำลังกายที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นั้นมักจะเกิดขึ้นจากอาหารที่ได้กินไปก่อนหน้านั้นด้วย เช่น อาหารทะเล ผักบางชนิดเช่น เซเลอรี และชีส สำหรับผู้ที่กินอาหารเหล่านี้ไป และเมื่อได้เริ่มออกกำลังกายแล้วจึงมีอาการแพ้ที่ผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นอย่าลืมระวังของที่กินก่อนไปออกกำลังกายกันนะคะ

แพนเค้ก
ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่แพนเค้กแสนอร่อยกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ นอกจากส่วนผสมบางชนิดในแป้งแพนเค้กที่อาจทำให้คนแพ้ได้แล้ว ยังมีโรคอีกหนิดที่เรียกว่า Pancake Syndrome ซึ่งเป็นอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นตามหลังการกินอาหารที่ทำจากแป้งสาลีที่มีการปนเปื้อนจากไรเล็กๆที่อาศัยอยู่กินในแป้ง ดังนั้นใครที่อยากกินแพนเค้กอย่าลืมใช้แป้งที่สดใหม่ทำนะคะ

ถุงยางอนามัย
บางท่านที่มีอาการแพ้ลาเท็กซ์ก็จะหนีไม่พ้นอาการแพ้ถุงยางอนามัยซึ่งทำมาจากลาเท็กซ์ด้วยเช่นกัน ใครที่มีอาการแบบนี้อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางป้องกันเพิ่มเติม

เหงื่อ

เป็นอีกหนึ่ง สาเหตุของอาการแพ้ ประเทศเราที่มีอากาศร้อนชื้นแบบนี้ทำให้เหงื่อออกได้ง่าย และบางคนอาจจะมีอาการแพ้เหงื่อตัวเอง โดยโรคที่แพ้เหงื่อตัวเองนั้นจะเรียกว่า Cholinergic Urticaria ผู้ที่มีอาการจะมีผื่นคัน แต่อาการมักจะไม่รุนแรงและหายได้เองหลังจากได้ชำระร่างกายให้สะอาดและอยู่ในที่เย็น

ผ้าขนสัตว์
ขนสัตว์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทราบกันดีว่ามักจะก่อให้เกิดอาการคันอยู่แล้ว แต่นอกเหนือจากผิวสัมผัสแล้วยังมีสารบางประเภทในขนสัตว์เช่น ไขจากขนแกะก็อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้อีกด้วย

เครื่องประดับ
สาวๆ ที่ชอบใส่เครื่องประดับต้องฟังไว้ เพราะการซื้อเครื่องประดับบางชิ้นที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะเครื่องประดับราคาถูกบางชนิดมักจะมีการผสมธาตุนิกเกิ้ลลงไปซึ่งจะทำให้เกิดผื่นแดงกับผู้สวมใส่ได้

แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์บางชนิดมีการผสมซัลไฟต์ที่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหอบหืดได้ โดยผู้ที่มีอาการแพ้แอลกอฮอล์และซัลไฟต์มักจะมีอาการน้ำมูกไหล ไอ หรือจามหลังจากดื่มแอลกอฮอล์

ผลไม้ที่มีเกสร
ใครที่เริ่มมีอาการปากบวมหรืออาการคันหลังกินผลไม้บางชนิดต้องระวังให้ดี เพราะนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการแพ้เกสรจากผลไม้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดกับผู้ที่มีอาการแพ้เกสรดอกไม้อยู่แล้ว หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มักจะมีอาการแพ้บ่อยๆ ควรจะระวังเป็นพิเศษเรื่องอาหารการกิน หรือการแตะต้องสัมผัสกับสิ่งต่างๆ และหากเริ่มมีอาการแพ้ที่ไม่ทราบสาเหตุและเริ่มเป็นหนักแล้วล่ะก็ อย่าลืมไปหาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำและการรักษานะคะ

การนอนคือสิ่งสำคัญ นอนอย่างไรถึงจะดี

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของเราคือการนอน ซึ่งถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด และมีผลอย่างมากต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของเรา โดยการนอนแบ่งออกเป็น 2 วงจร ซึ่งจะเกิดขึ้นสลับกันไปในแต่ละคืน

  1. Non-Rem Sleep คือ ช่วงของการหลับตื้นไปจนถึงหลับลึก
  2. Rem Sleep คือวงจรที่กล้ามเนื้อต่างๆ หยุดทำงานหมดยกเว้น หัวใจ กระบังลม กล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นช่วงที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราว โดยการนอนแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงหลังของการนอนเป็นเหตุให้ฝันบ่อยๆในช่วงเช้ามืด

โดยการนอนที่ดีนั้นจะต้องมีทั้ง 2 ช่วง สลับกันไปในแต่ละคืน นอกจากนี้เรามักจะได้ยินคำถามที่ว่า ต้องนอนมากแค่ไหนถึงจะเรียกว่า “นอนอย่างเต็มที่” ซึ่งจริงๆแล้วในส่วนของเวลาการนอนนั้นไม่มีคำตอบเป็นข้อมูลที่ชัดเจน สิ่งที่หลายๆ คนรู้มาจากตามเว็บไซต์หรือจากแหล่งอื่นๆ คือ ค่าเฉลี่ย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้บางคนอาจนอนเพียงแค่ 5 ชั่วโมง ในขณะที่บางคนอาจใช้เวลานอนถึง 10 ชั่วโมง จึงจะรู้สึกสดชื่น สิ่งที่เป็นตัววัดว่าเรานอนอย่างเต็มที่หรือไม่นั้นคือการที่เราตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่มักจะมีปัญหาการนอนไม่หลับหรือมีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึก ซึ่งอาจเกิดจากการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคซึมเศร้า หรืออาจมีการใช้แอลกอฮอล์ สารเสพติดบางชนิด ส่งผลให้การนอนไม่ราบเรียบอย่างที่ควร

อาการเหล่านี้สามารถรักษาได้แต่ต้องตรวจสอบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เช่น คนไข้บางรายนอนกรนมากผิดปกติส่งผลให้นอนไม่หลับ ต้องรักษาโดยการใส่เครื่องช่วยหายใจระหว่างการนอนเพื่อให้นอนหลับได้สนิทมากขึ้น หรือหากเกิดจากการใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ก็ควรจะเลิกใช้ นอกจากนี้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การจัดตารางการนอนให้เหมาะสม และงดดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้นอนหลับสนิทมากยิ่งขึ้น